ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นสำหรับล่ามภาษาญี่ปุ่นโดยเฉพาะล่ามมือใหม่ เพื่อนำไปใช้เป็นเป็นแนวทางในการฝึกฝนเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่น และประกอบวิชาชีพล่ามอย่างประสบความสำเร็จ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับงานบัญชี งานบุคคล ฯลฯ ซึ่งเหมาะสำหรับล่ามที่ประจำอยู่ฝ่ายบริหาร
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับล่ามทุกๆคนไม่มากก็น้อย และถูกเผยแพร่นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
มีดังต่อไปนี้
คือ งบการเงินที่แสดงถึงผลการดำเนินกิจการ กำไร/ขาดทุน
รายได้ - รายจ่าย = กำไร/ขาดทุน |
---|
หลักๆก็มาจากการขายสินค้า รวมถึงรายได้อื่นๆ เช่น จากการขายแม่พิมพ์ ฯลฯ
สต๊อกสินค้าก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการผลิตที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนด้วยเช่นกัน
เมื่อสต๊อกสินค้าถูกจัดส่งและขายออกไปให้กับลูกค้า จากต้นทุนการผลิตก็จะเปลี่ยนไปเป็น "ต้นทุนขาย" ซึ่งมีสูตรคำนวณดังนี้
ต้นทุนการผลิต + สต๊อกต้นงวด - สต๊อกปลายงวด = ต้นทุนขาย |
---|
★ถ้ามีสต๊อกระหว่างเดือนมาก (สต๊อกปลายงวด มากกว่า ต้นงวด) ก็จะทำให้ “ต้นทุนขาย”ของเดือนนั้นดูน้อยลงไป ตามตัวเลขเปรียบเทียบด้านล่าง
ตัวอย่าง | A | B |
---|---|---|
ต้นทุนการผลิต | 100 + | 100 + |
สต๊อกต้นงวด | 100 - | 100 - |
สต๊อกปลายงวด | 50 | 150 |
ต้นทุนขาย | 150 | 50 |
อย่างไรก็ตาม สต๊อกปลายงวดก็ยังคงอยู่ในสถานะของต้นทุนการผลิต และเมื่อสต๊อกเหล่านี้ถูกจัดส่งไปยังลูกค้า ก็จะกลายมาเป็นต้นทุนขายในเดือนถัดไป
ยอดขาย - ต้นทุนขาย = กำไรขั้นต้น |
---|
"กำไรขั้นต้น - ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร" |
---|
営業利益 (Operating Profit)
สะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินกิจการจากกิจกรรมการผลิตโดยตรง
กำไรขาดทุนจากการดำเนินธุรกิจ +/- รายรับรายจ่ายที่ไม่ด้เกิดจากการดำเนินธุรกิจ |
---|
経常利益 (Net Profit)
สำหรับการบริหารธุรกิจนั้น ผู้บริหารมักจะดูจาก 営業利益เป็นหลัก ซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการผลิตโดยตรง เพราะว่า 営業外収入・費用จะเป็นกำไร/ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนฯลฯ ซึ่งไม่เกี่ยงข้องกับกิจกรรมการผลิตโดยตรง
หมายถึง การนำยอดลูกหนี้คงค้าง(AR)หรือเจ้าหนี้คงค้าง(AP)ที่มีการซื้อขายด้วยเงินตราต่างประเทศ มาคำนวณผลต่างระหว่างมูลค่าการซื้อขายจริงตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ.วันที่นั้นๆที่มีการออกInvoice เทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนณ.สิ้นเดือน เพื่อให้รับรู้ถึงผลต่างดังกล่าวทางบัญชี รวมถึงการคำนวณเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยน ณ.วันที่รับเงินหรือชำระเงินเพื่อให้รับรู้ถึงผลต่างที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งผลที่ได้จะมีทั้ง "ขาดทุน" และ "กำไร"
ยกตัวอย่าง ในกรณีของยอดลูกหนี้คงค้าง(Account Receivable) 売掛คือ งบแสดงการไหลเข้า/ออกของเงินสด
キャッシュフロー計算書งบกระแสเงินสด ประกอบด้วย 4ส่วนหลักดังนี้
1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน 営業キャッシュフロー
การคำนวณจะเริ่มตั้งต้นจาก ยอดBalance CashFlow ที่ยกยอดมาจากเดือนก่อน จากนั้นก็นำไปหักลบ(+/-)กับยอดกำไรสุทธิ (純利益หรือเรียกว่า 経常利益 )
รวมถึงหัวข้อต่างๆตามBalance Sheet (貸借対照表)
โดยดูจากยอดของเดือนนี้เปรียบเทียบกับเดือนก่อนว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ยกตัวอย่างในส่วนของ 営業キャッシュフローซึ่งมีแนวคิดดังต่อไปนี้
1. หนี้สิน (負債)
หนี้สิน↑ เงินสด↑
1.1 เจ้าหนี้การค้า (仕入れ債務หรือ買い掛け)
เจ้าหนี้↑ เงินสด↑ ...ยังไม่ได้จ่ายเงินเค้าอะดิ เลยมีเงินสดเพิ่ม
เจ้าหนี้↓ เงินสด↓ ...เอาเงินสดจ่ายหนี้เค้าไปแล้ว เงินสดเลยลดลง
1.2 หนี้สินหมุนเวียนอื่นๆ
1.3 ค่าใช้จ่ายคงค้าง
2. สินทรัพย์ (資産)
สินทรัพย์↑ เงินสด↓
2.1 ลูกหนี้การค้า (売上げ債権หรือ売り掛け)
ลูกหนี้↑ เงินสด↓ ...ลูกหนี้ยังไม่ได้จ่ายเงินมาให้เรา เงินสดเลยลดลง
ลูกหนี้↓ เงินสด↑ ...ลูกหนี้จ่ายเงินให้เรามาแล้ว เลยมีเงินสดเพิ่ม
2.2 สินค้าคงเหลือ (棚卸資産)
สต๊อก↑ เงินสด↓ ...ใช้เงินไปกับการผลิตงาน
สต๊อก↓ เงินสด↑ ...ผลิตน้อยลง เงินเหลือ
เป็นดัชนีอย่างหนึ่งสำหรับใช้ในการวิเคราะห์ต้นทุนหรือวิเคราะห์จุดคุ้มทุน ซึ่งคำว่า"ต้นทุน"ในที่นี้อาจหมายความเฉพาะต้นทุนการผลิตเท่านั้น หรืออาจหมายความรวมถึงค่าการขายและบริหาร(Sell&Admin) ซึ่งขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้บริหารที่จะนำไปวิเคราะห์
กำไรส่วนเกิน = ยอดขาย - ค่าใช้จ่ายผันแปร |
---|
ส่วนเกินในที่นี้ ถ้าสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่ส่วนที่เหลือได้ ก็จะถือว่ามีกำไร แต่ถ้าไม่ได้ก็ถือว่าขาดทุน
อัตรากำไรส่วนเกิน = กำไรส่วนเกิน / ยอดขาย |
---|
ยอดขาย | 300 บาท - | (ราคาต่อหน่วย 100บาท) |
ค่าใช้จ่ายผันแปร | 120 บาท | (ค่าใช้จ่ายผันแปรต่อหน่วย 40บาท) |
กำไรส่วนเกิน | 180 บาท - | (กำไรส่วนเกินต่อหน่วย 60บาท) |
ค่าใช้จ่ายคงที่ | 300 บาท | |
ขาดทุน | ▲ 120 บาท | |
อัตรากำไรส่วนเกิน = 180/300 ---> 0.60 (60%)
* หมายความว่าถ้ามียอดขายเพิ่มขึ้น 100 บาท ก็จะมีกำไรส่วนเกินเพิ่มขึ้น 60 บาท
คือ จุดที่ยอดขายเท่ากับค่าใช้จ่ายรวม
สมการ: ยอดขาย = ค่าใช้จ่ายคงที่+ค่าใช้จ่ายผันแปร |
---|
(ปริมาณขาย x ราคาต่อหน่วย) = ค่าใช้จ่ายคงที่ + (ปริมาณขาย x ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย)
ยอดขาย | 500 บาท - | |
ค่าใช้จ่ายผันแปร | 200 บาท | |
กำไรส่วนเกิน | 300 บาท - | |
ค่าใช้จ่ายคงที่ | 300 บาท | |
เท่าทุน | ± 0 บาท | |
อัตรากำไรส่วนเกิน = 180/300 ---> 0.60 (60%)
* หมายความว่าถ้ามียอดขายเพิ่มขึ้น 100 บาท ก็จะมีกำไรส่วนเกินเพิ่มขึ้น 60 บาท
สามารถหาได้จากสมการง่ายๆ 2อย่างดังนี้
1) ในมุมมองที่ว่า..จากต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง เราจะต้องขายให้ได้กี่หน่วย(ชิ้น) ถึงจะคุ้มทุน????
สมการ: ปริมาณขายณ.จุดคุ้มทุน = ต้นทุนคงที่ / กำไรส่วนเกินต่อหน่วย
ยอดขาย | 300 บาท - | (ราคาต่อหน่วย 100บาท) |
ค่าใช้จ่ายผันแปร | 120 บาท | (ค่าใช้จ่ายผันแปรต่อหน่วย 40บาท) |
กำไรส่วนเกิน | 180 บาท - | (กำไรส่วนเกินต่อหน่วย 60บาท) |
ค่าใช้จ่ายคงที่ | 300 บาท | |
ขาดทุน | ▲ 120 บาท | |
ปริมาณขายณ.จุดคุ้มทุน = 300 / (100-40) --> 5 หน่วย(ชิ้น)
* เท่ากับว่าเราต้องขายให้ได้ 5หน่วย ถึงจะคุ้มทุน
2) ในมุมมองที่ว่า..เราจะต้องขายให้ได้กี่บาท ถึงจะคุ้มทุน????
สมการ: ยอดขายณ.จุดคุ้มทุน = ต้นทุนคงที่ / อัตรากำไรส่วนเกิน
อัตรากำไรส่วนเกินหาได้จาก กำไรส่วนเกินต่อหน่วย / ราคาต่อหน่วย
ยอดขายณ.จุดคุ้มทุนในมุมมองที่ว่า... เราจะต้องขายให้ได้กี่หน่วย(ชิ้น) หรือกี่บาทถึงจะมีกำไรตามที่เราต้องการ????
จากสมการข้างต้น...เพียงแค่บวกเพิ่มกำไรที่ต้องการเข้าไปในต้นทุนคงที่ก็จะได้คำตอบเอง
+ กำไรที่ต้องการ
ปริมาณขายณ.จุดคุ้มทุน = 300
+240
/ (100-40) --> 9 หน่วย(ชิ้น)
* เท่ากับว่าเราต้องขายให้ได้ 9หน่วย ถึงจะมีกำไรที่ 240บาท
ปริมาณขายณ.จุดคุ้มทุน = 300
+240
/ (60/100) --> 900 บาท
* เท่ากับว่าเราต้องขายให้ได้ 900บาท ถึงจะมีกำไรที่ 240บาท
คือ ภาษีทางอ้อมที่รัฐบาลเรียกเก็บจากการซื้อขายสินค้าและบริการ
VAT ย่อมาจาก Added Value Tax
บริษัทที่มีรายได้ต่อปีเกิน 1.8ล้านบาท กฎหมายบังคับให้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
1. ภาษีขาย หรือ VATขาย (売上税/売掛けVAT)*การดำเนินธุรกิจทั่วๆไป ภาษีขายมักจะมีมากกว่าภาษีซื้อ พูดง่ายๆก็คือ ถ้าบริษัทที่มีกำไรก็ควรจ่ายภาษีให้กับรัฐ |
---|
ชำระเพิ่มเติม / ชำระไว้เกิน ?
(เงินได้ - ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี - ภาษีที่ถูกหัก(50ทวิ) |
---|
ค่าบริการ 3%, ค่าเช่า 5%, ค่าขนส่ง 1% เป็นต้น
(กำไรสุทธิ - ขาดทุนสะสม) x อัตราภาษี20% - ภาษีที่ถูกหัก(ข้อ2) |
---|
มีดังต่อไปนี้
ย่อมาจาก Board of Investment
投資奨励委員会
หน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการเข้ามาลงทุนจากต่างประเทศ โดยสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่สำคัญ คือ สิทธิทางภาษี
1. ยกเว้นภาษีนิติบุคคล (法人所得税の免除)
ในขั้นตอนการยื่นส่วนสูญเสีย จำเป็นต้องให้หน่วยงานที่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นบุคคลที่3
(資格認定の第三者)
เข้ามานับจำนวนและตรวจรับรองจำนวนงานเสียให้ ซึ่งในส่วนนี้เราจะไม่เสียภาษีเต็มอัตรา ซึ่งเป็นอัตราภาษีของเศษซาก
スクラップ
*ถ้ามีการควบคุมจัดการที่ไม่ดี ก็จะเกิด “ส่วนที่สูญหาย” ซึ่งส่วนนี้จะต้องเสียภาษีย้อนหลังเต็มอัตรา |
---|
人事制度
แนวคิดก็คือ ต้องการให้เกิดความแตกต่างระหว่างคนที่ตั้งใจทำงานกับคนที่ไม่ตั้งใจทำงาน คนที่ตั้งใจก็จะเกิด Motivation พัฒนาตนเองและบริษัทให้ดียิ่งๆขึ้นไป แบ่งเป็น 3ส่วนหลักดังนี้
1) ระบบเกรด
等級制度
2) ระบบประเมิน
評価制度
3) ระบบค่าตอบแทน
報酬制度
เหมือนกับระบบราชการ C1 C2 C3…. สำหรับบริษัทก็อาจจะเรียกเป็น G1 G2 G3 ซึ่งในแต่ละเกรดนั้นก็จะมีการกำหนด “ช่วงเงินเดือน” 賃金レンジ หรือเรียกว่า “กระบอกเงินเดือน” มีค่า Min/Max
เงินเดือนจะถูกปรับขึ้นทุกๆปี เมื่อไปถึงค่าMax เมื่อไหร่ และถ้าเราไม่มีความสามารถพอ ไม่เข้าเงื่อนไข หรือไม่สามารถที่จะ “เลื่อนเกรด” ได้昇格เงินเดือนก็จะตัน/ชนเพดาน ก็จะไม่ได้ปรับขึ้นเงินเดือนตาม% ที่ควรจะเป็น
★ที่สำคัญคือ การเลื่อนเกรดนั้น ควรจะต้องมีเงื่อนไขและระเบียบที่ชัดเจน และต้องอาศัยการผลักดันจากหัวหน้าเป็นสิ่งสำคัญที่จะให้ลูกน้องของตนเองพัฒนาการทำงานให้สามารถเลื่อนเกรดไปได้ |
---|
“การประเมินค่างาน” เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้สนับสนุนความคิดหรือความรู้สึกของผู้ประเมินที่มีต่อลักษณะงานนั้นๆ... ทำให้มีหลักเกณฑ์เพื่อให้สามารถอธิบายที่ไปที่มาได้ |
---|
2) Competency 能力
1. Sense of Ownership | ความรู้สึกความเป็นเจ้าของ แผนกของเรา! |
---|---|
- ใช้ทักษะในการปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดี | เราต้องพยายามใช้ทักษะอย่างเต็มที่และมีส่วนร่วม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแผนก เป้าหมายแผนก? ผ่านเกณฑ์ประเมินฯ 75% (หน้าที่ความรับผิดชอบ/ความรู้ทางภาษา/บุคลิคภาพ) |
- วางแผน และกำหนดขั้นตอนการทำงานให้ สอดคล้องกับเป้าหมายของแผนก / ฝ่าย | ตัวอย่างเช่น เมื่อได้รับมอบหมายงานแปล มีการ วางแผนว่าวันนึงเราน่าจะได้ประมาณกี่หน้า น่าจะเสร็จ ประมาณเมื่อไหร่ ทันกำหนดส่งมั้ย? |
- ติดตามความคืบหน้าของงานเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของแผนก / ฝ่าย รวมทั้งร่วมสร้างสรรค์แนวทางในการแก้ไขปัญหา | จากที่เราวางแผนไว้ วันนึงแปลได้ตามแผนมั้ย ถ้าวันนี้ไม่ได้ ต้องไปเร่งทำพรุ่งนี้ |
2. Teamwork & Collaboration | ทีมเวิร์ค การทำงานเป็นทีม |
---|---|
- อธิบายทำให้พนักงานในทีมทุกคนมองเห็นภาพเป้าหมายเดียวกันได้อย่างชัดเจน | ทุกคนต้องเข้าใจและมีเป้าหมายเดียวกัน ไม่ใช่คนนี้มองว่า..ไม่ได้ตามเป้าก็คงไม่เป็นไรมั้ง อีกคนบอกไม่ได้ต้องเสร็จให้ทัน |
- ผลักดันให้เกิดความร่วมมือในการทำงานร่วมกันภายในทีม | ถ้าแต่ละคนมีเป้าหมายที่ต่างกันก็จะไม่สามารถทำงานเป็นทีมได้ |
- สร้างสัมพันธ์ ประสานเข้ากับผู้อื่นในทีมได้ดี | สร้างสัมพันธ์ที่ดีในทีม คอยประสานงานกัน |
3. Customer Oriented | การให้ความสำคัญกับลูกค้า |
---|---|
- เข้าใจและมองเห็นภาพความต้องการของลูกค้าอย่างชัดเจน | ลูกค้า ในที่นี้หมายถึง คนที่ใช้บริการเรา พูดง่ายๆก็คือเราต้องเข้าใจที่เค้าร้องขอมา พยายามทำให้ได้ตามที่เค้าร้องขอ |
- อธิบายทำให้พนักงานในทีมทุกคนเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างชัดเจน | นอกจากตัวเราเอง ทีมงานคนอื่นก็ต้องเข้าใจตรงกันด้วย |
- ผลักดันให้เกิดความเข้าใจ และความสัมพันธ์อันดีระหว่างบริษัทกับลูกค้า | มีทัศนคิที่ดี ไม่ใช่ว่า...ขอมาซะด่วนเลย ใครจะไปแปลทัน! |
4. Professionalism | ความเป็นมืออาชีพ |
---|---|
- ประยุกต์ใช้องค์ความรู้ในวิชาชีพ และทักษะความชำนาญที่เหมาะสมในการปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดี | มีความเป็นมืออาชีพ เป็นเรื่องของจรรยาบรรณ จรรยาบรรณล่าม? 1.แปลอย่างถูกต้องครบถ้วน 2.มีความเป็นกลาง 3.รักษาความลับ 4.เคารพผู้อื่น |
- ตัดสินใจ แก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสมตามหลักวิชาชีพ และจรรยาบรรณ | เมื่อมีปัญหา สามารถแก้ไขได้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่นงานแปลไม่ทันแต่ใกล้ถึงวันส่งแล้ว! เช่น แบ่งงานให้คนอื่นช่วยแปล ทำโอที ขอเลื่อนกำหนดส่ง |
- ให้ความร่วมมือและมีส่วนร่วมกับกิจกรรม / วัฒนธรรม องค์กรที่บริษัทฯกำหนดเป็นอย่างดี | ให้ความร่วมมือและมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของบริษัท วันครอบครัว งานเลี้ยงปีใหม่ จิตอาสา ประกวดคำขวัญฯลฯ |
3) Attendance勤怠(出欠勤)
จำนวนวันลา | หักคะแนน |
---|---|
5 วัน | -0 |
6 วัน | -1.2 |
7 วัน | -2.4 |
... | ... |
30 วัน | -30 |
เกรด | คะแนน |
---|---|
A | 85 - 100 |
B | 69 - 84 |
C | 53 - 68 |
D | 37 - 52 |
E | 20 - 36 |
Grade | Salary(%) | Bonus(month) |
---|---|---|
A | 6% | 5.0 |
B | 5% | 4.5 |
C | 4% | 4.0 |
D | 3% | 3.5 |
E | 2% | 3.0 |